การเลือกเครื่องจักรมือสองสำหรับโรงงาน
ในการวางระบบเครื่องจักรสำหรับโรงงานหรือสายการผลิต หลายบริษัทมักมองหา เครื่องจักรมือสอง เพื่อช่วยลดต้นทุนโดยไม่ลดคุณภาพ แต่การเลือกเครื่องจักรมือสองให้ได้ของดีใช้นานและไม่สร้างปัญหาระยะยาว ไม่ใช่เพียงเรื่องของราคาเท่านั้น แต่ต้องพิจารณาเรื่องสภาพการใช้งานจริง การบำรุงรักษา และความพร้อมของอะไหล่รองรับ
ตรวจชั่วโมงการทำงานจริง (Operating Hours)
ชั่วโมงการใช้งานของเครื่องจักรเป็นตัวบ่งชี้การสึกหรอเชิงกลอย่างตรงไปตรงมา หากเครื่องจักรทำงานมานานเกินไป อาจมีสภาพภายในที่เสื่อมช้ำโดยมองไม่เห็นจากภายนอก เช่น ชุดลูกปืน ชุดกดแรงดัน ปั๊มไฮดรอลิก หรือชุดหัว CNC ที่เริ่มคลาดเคลื่อน
สิ่งที่ควรตรวจ:
ชั่วโมงเดินเครื่องรวม (Total Running Hours)
ชั่วโมงโหลดหนัก (Full Load Hours)
ชั่วโมงสแตนด์บาย (Standby Hours)
การใช้งานต่อรอบ เช่น เดิน 24 ชั่วโมงต่อวัน หรือเป็นกะ 8 ชั่วโมง
เคล็ดลับเพิ่มเติม
เครื่องจักรที่ใช้งาน 5–7 ปี แต่เดิน 8 ชั่วโมง/วัน อาจดีกว่าเครื่องรุ่นใหม่กว่าแต่ใช้งาน 24 ชั่วโมงต่อวันไม่หยุด
เพราะอัตราการสึกหรอของระบบกลและความร้อนสะสมต่างกันอย่างมาก
หมายเหตุ: ชั่วโมงต่ำ ≠ ดีเสมอไป
ต้องดูควบคู่กับวิธีการบำรุงรักษาและสภาพแวดล้อมการใช้งานด้วย
เช็คประวัติการซ่อมบำรุง (Maintenance Record)
ข้อมูลการซ่อมคือ “ลายแทงความจริง” ที่ไม่มีใครโกหกได้ เพราะบันทึกวิธีซ่อม อะไหล่ที่เปลี่ยน และจุดบกพร่องที่เกิดขึ้นตามเวลา
เอกสารที่ควรขอ:
ประวัติการเปลี่ยนอะไหล่ (Parts Replacement History)
รายการซ่อมใหญ่ (Overhaul Report)
รายการเซอร์วิสตามระยะ (Preventive Maintenance)
การสอบเทียบเครื่องจักร (Calibration Report)
สิ่งสำคัญที่ต้องดูให้ชัด:
เปลี่ยนอะไหล่แท้หรือเทียบ
เปลี่ยนเอง / ช่างศูนย์ / ช่างทั่วไป
ซ่อมเพราะชำรุดจริง หรือยกเครื่องก่อนขาย
การมีประวัติการซ่อมอย่างสม่ำเสมอถือว่าเป็น “สัญญาณดี”
เพราะชี้ว่าเจ้าของเดิมดูแลรักษาอย่างเป็นระบบ ไม่ปล่อยให้เครื่องพังถึงจุดวิกฤต
ตรวจสอบอะไหล่และการบริการหลังการขาย
หลายโรงงานเสียต้นทุนจำนวนมากจาก “Downtime”
เพราะหาอะไหล่ไม่ได้ หรือซัพพลายเออร์ไม่มีทีมช่างรองรับ
สิ่งที่ต้องประเมินก่อนซื้อ:
| รายการ | คำถามที่ควรถาม |
|---|---|
| ความพร้อมของอะไหล่ | มีในประเทศหรือสั่งนอก ใช้เวลานานแค่ไหน |
| ศูนย์ซ่อม | มีศูนย์กลาง/ตัวแทนอย่างเป็นทางการไหม |
| ราคาของอะไหล่ | เปลี่ยนแต่ละครั้งกระทบต้นทุนการผลิตหรือไม่ |
| การรับประกัน | รับประกันเฉพาะเครื่อง หรือรวมอะไหล่ด้วย |
เกณฑ์ตัดสินใจแบบมืออาชีพ
เลือกเครื่องที่มีอะไหล่แพร่หลาย
เลือกยี่ห้อที่มีศูนย์เทคนิคในประเทศ
เลือกผู้ขายที่มีทีมช่างตอบสนองไวใน 24–48 ชม.
ทดสอบการเดินระบบจริง (Full Load Test)
ก่อนตัดสินใจซื้อ ต้องขอทดสอบเดินเครื่องจริง ไม่ใช่แค่เปิดสวิตช์ให้ดูว่า “ติด”
สิ่งที่ควรทดสอบอย่างละเอียด:
| ชุดทดสอบ | สิ่งที่ต้องสังเกต |
|---|---|
| เดินรอบเปล่า (Idle) | ความนิ่ง เสียงสั่นสะเทือน |
| เดินโหลด 50–100% | แรงดัน น้ำมัน ความร้อน ความเสถียร |
| ระบบไฮดรอลิก | แรงดันตกหรือไม่ มีฟองอากาศไหม |
| ระบบควบคุม (Control/PLC) | Error Code แจ้งเตือนผิดปกติหรือไม่ |
| ระบบไฟฟ้าและเซนเซอร์ | Relay, Proximity, Servo ตอบสนองตรงหรือไม่ |
หากซัพพลายเออร์ไม่ยอมให้เทสต์เต็มโหลด = ให้พิจารณาอย่างระมัดระวัง
ควรเลือกซัพพลายเออร์ที่มีมาตรฐาน
ไม่ใช่ผู้ขายเครื่องจักรทุกเจ้าจะมีฝ่ายเทคนิคจริง บางเจ้า “แค่เป็นนายหน้า”
มาตรฐานของผู้ขายที่ควรมองหา
มีทีมวิศวกรตรวจสอบก่อนส่งมอบ (Pre-Delivery Inspection Report)
ให้คู่มือการใช้งานพร้อมใบเซอร์วิส
มีการรับประกันชัดเจน
ให้บริการติดตั้งตั้งแต่ต้นจนจบ
มีระบบดูแลหลังการขาย 6–12 เดือน
ข้อดีของซัพพลายเออร์มืออาชีพ
ตรวจสอบเครื่องจากโรงงานต้นทาง
รีคอนดิชันและสอบเทียบก่อนส่งมอบ
Test Run หน้างานก่อนส่งโอเค 100%
สรุปภาพรวม
การเลือกซื้อเครื่องจักรมือสองให้คุ้มค่า ต้องไม่มองแค่ “ราคา”
แต่ต้องมองภาพรวมทั้งระบบ ตั้งแต่สภาพเครื่องจริง อะไหล่ การซ่อมบำรุง และทีมช่างสนับสนุน
เมื่อเลือกถูกตั้งแต่ต้น:
ลดต้นทุนเริ่มต้นได้ 30–50%
ลดความเสี่ยงหยุดผลิตกะทันหัน
ยืดอายุการใช้งานโดยไม่ต้องลงทุนเครื่องใหม่เร็วเกินไป
